ที่ The Art Clubs and More

ติดต่อสอบถามได้ที่: theartclubs@gmail.com หรือ

www.facebook.com/theartclubs N More หรือ

Tel. 02-747-4008, 084-361-4030

12/05/2555

Daddy Birthday Cake



   โจทย์วันนี้คือทำขนมเค้กวันเกิดคุณพ่อค่ะ นักเรียนคือเด็กชายวัย 10 ขวบมาเรียนคลาสตัวต่อตัวเพื่อทำวันนี้เอากลับไปกินเย็นวันนี้เลย และเนื่องจากคุณพ่อเป็นชาวญึ่ปุ่น ครูก้อยเลยเลือกเนื้อเค้กเป็นสปันจ์เพราะคนญึ่ปุ่นชอบทำเค้กด้วยเนื้อนี้ เนื้อวนิลลาสปันจ์ หน้าเป็นบัตเตอร์ครีมเพราะทำง่ายกินได้เลย ไม่รอแช่ตู้เย็นเพื่อให้หน้าเซ็ทตัว นักเรียนวัย 10 ขวบของครูก้อยเป็นเด็กชายที่ไม่เคยทำขนมมาก่อน เนื่องจาก 10 ขวบแล้วก็เลยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ครูก้อยสอนเป็นภาษาอังกฤษแบบไม่แปลนะครับได้มั้ย ลูกชายตอบกลับมาว่าได้ครับ ครูก้อยก็โซโล่เลยค่ะ น้องก็เข้าใจเป็นส่วนใหญ่นะคะ ครูก้อยยังแซวไปเลยว่า เก่งภาษาอังกฤษนะเนี่ย ที่โรงเรียนได้เกรดสี่รึเปล่า ชอบภาษาอังกฤษใช่มั้ย คำตอบคือ ไม่ชอบครับ สอบก็ได้ เกรด 3 ครูก้อยก็ "แป่วววว" แต่ขนาดไม่ชอบยังได้ขนาดนี้ถือว่าเก่งมากๆค่ะ

   เอาหล่ะเรามาดูขั้นตอนกันดีกว่า เนื่องจากว่าโจทย์คือทำเค้กให้คุณพ่อ น้องต้องทำเองทุกขั้นตอนค่ะ (นักเรียนทุกคนที่มาเรียนกับครูก้อยก็ทำเองทุกขั้นตอนกันอยู่แล้วค่ะ) โดยที่ครูก้อยช่วยให้น้อยที่สุด ซึ่งขั้นตอนเยอะมาก แต่ไม่ยากค่ะ ครูก้อยเลยให้น้องอ่านไปทำไป ไม่ได้อธิบายขั้นตอนก่อนเหมือนปกติ

เครื่องปรุง

     5 Eggs                                 ไข่ 5 ฟอง
     150 g Sugar                         น้ำตาล 150 กรัม
     100 g Cake Flour                 แป้งเค้ก 100 กรัม
     25 g Corn Starch                  แป้งข้าวโพด 25 กรัม
     ½ tsp Baking Powder           ผงฟู ½ ช้อนชา
     50 ml. Milk                           นมสด 50 มิลลิลิตร
     1 tsp Vanilla Extract             กลิ่นวนิลลา 1 ช้อนชา
     50 g Butter, melted               เนยละลาย 50 กรัม

    อ่านเครื่องปรุงไปก็ชั่ง ตวงไปด้วย ตอนอ่านสูตรกันลูกชายดูงงกับกรัม มิลลิลิตร เพราะไม่แน่ใจว่าอันไหนใช้อะไรตวง ครูก้อยก็สอนไปว่าถ้าเป็นกรัมคือต้องชั่ง เป็นมิลลิลิตรคือของเหลวก็ตวงค่ะ ช่วงที่ชั่งแป้งต่างๆ ครูก้อยก็ให้ลูกชายได้สัมผัสแป้งและบอกความแตกต่าง เขาก็จับแป้งค่ะ แต่ไม่กล้าพูดว่ามันต่างกันยังไง คำตอบคือ มันก็คือแป้งเป็นผง นี่คื่อความแตกต่างของเด็กเล็กกับเด็กโตค่ะ เด็กเล็กจะยังมีจินตนาการ กล้าพูดไม่กลัวสิ่งถูกสิ่งผิด คิดยังไงก็พูดออกมา แต่เด็กโตจะเริ่มกลัวผิดค่ะ เพราะเขาถูกสอนมาแบบนั้นให้ทำแต่สิ่งที่ถูก ครูก้อยก็เลยพูดนำว่าความนิ่มของแป้งต่างกันมั้ย ความหยาบของแป้ง ลูกชายก็เริ่มพูดค่ะ ตอนตอกไข่ ลูกชายไม่กล้าตอกค่ะ กลัวว่าเปลือกไข่จะตกลงไปในชาม กลัวว่าไข่แดงจะแตก ครูก้อยบอกไม่เป็นไร เปลือกไข่ตกก็เอาออก ไข่แดงแตกก็ยิ่งดีเพราะเราจะตีมันแตกอยู่แล้ว พอฟองหลังๆเร่ิมสนุกค่ะ





อุปกรณ์ที่ใช้

          Scale                    ตาชั่ง
          Sifter                    ที่ร่อนแป้ง
          Hand Mixer         เครื่องตีแบบใช้มือถือ
          Parchment Paper  กระดาษรองอบ
          Stainless Steel Bowl โถสเตนเลส
          Spatula                 ไม้พาย

ตอนอธิบายเรื่องอุปกรณ์ ถ้าเป็นเด็กเล็กครูก้อยจะเป็นคนหยิบอุปกรณ์มาให้เด็กๆดูเพราะเด็กเล็กยังไม่รู้จักอะไรมากนัก แต่นี่เป็นเด็ก 10 ขวบแล้วครูก้อยเลยใช้วิธีพูดชื่ออุปกรณ์ไปเลย แล้วให้น้องไปชี้ว่าอันไหนคืออุปกรณ์ที่ครูก้อยพูดถึง ก็ทำได้ดีค่ะ บางอันก็รู้จริง บางอันก็เดาแต่ก็เดาถูก อันผิดก็มีเหมือนกันค่ะ

การเตรียมเครื่องปรุง
  1. ร่อนแป้งเค้ก, แป้งข้าวโพด, ผงฟู เข้าด้วยกัน ตอนนี้น้องถามว่าต้องเอาไปรวมกันด้วยเหรอ เหมือนกลัวๆว่ามันจะปนกันได้เหรอ ดีค่ะที่มีข้อสงสัย เขาร่อนไป 3 รอบ น้องเป็นเด็กที่สังเกตดีมาก เพราะร่อนแล้วมันจะมีเม็ดแป้งเม็ดใหญ่ๆ เหลือบนที่ร่อน เขาก็ถามว่าเม็ดๆนั่นอะไร ครูก็บอกว่าเม็ดแป้งไม่เป็นไรเคาะๆที่ร่อนแรงหน่อยมันก็จะร่อนลงมา
  2. ให้ลูกชายเปิดเตาอบเองเลยค่ะ อุ่นเตาอบ ดูอุณหภูมิตามที่สูตรบอก


    ขั้นตอนการทำ

      1. ตีไข่กับน้ำตาลเข้าด้วยกันบนหม้อต้ม 2 ชั้น ตีให้ฟูข้นขาว ให้ตีเองเลยค่ะ ตีไปได้สักพักเมื่อยมีค่ะ เขาก็บอกว่าน่าจะได้แล้ว ก็เลยบอกเขาค่ะว่าต้องข้นขนาดว่าวาดเลข 8 บนไข่แล้วมันยังเป็นตัวเลขอยู่ไม่ละลายไปกับส่วนผสม เขาก็เข้าใจค่ะ อดทนตีต่อไป จนฟูขาวข้นจริงๆแล้ว เขาก็เอาออกมาทดสอบตามที่เราบอกเลยค่ะ เรียกว่าสอนอะไรจำได้และทำตามทันที


      2. ค่อยๆใส่แป้งสลับนมลงไปในส่วนผสมไข่ ทุกขั้นตอนครูก้อยพูดเป็นภาษาอังกฤษหมด เขาก็สามารถทำตามได้ค่ะ ครูก้อยย้ำไปว่าให้โรยแป้งเบาๆ ไม่งั้นฟองไข่จะยุบได้ และต้องค่อยๆคนค่ะ ครูก้อยก็ทำให้เขาดูก่อน และให้เขาทำเองค่ะ เขาก็ค่อยๆคนแป้งค่ะ ค่อยมากเพราะกลัวมันจะยุบอย่างที่เราบอก พอน้องใส่เสร็จครูก้อยก็ขอเขาว่าครูจะคนต่อให้นะครับ เขาก็โอเค พอเขาเห็นครูก้อยเอามาคน เขาถามว่า "ที่ครูทำนี่เรียกว่าคนเบาๆเหรอ" ถามไปพร้อมหัวเราะไป ครูก็หัวเราะด้วยค่ะ อืม เราเองก็ทำไม่เบาเท่าไรนะ (คือแรงกว่าเขาแน่นอน) แต่บอกให้เด็กทำเบาๆ คิดแล้วก็ขำนะคะ คนเป็นผู้ใหญ่มักจะเป็นแบบนี้แหละค่ะ แล้วก็ไม่รู้ตัวด้วย อย่างครูก้อยตอนนี้แหละ ต้องให้เด็กเตือน

    1. 3. พอเขาทำเสร็จแล้วก็ให้ตักส่วนผสมไข่แป้งส่วนหนึ่งออกมาใส่ถ้วยเนยละลาย คนให้เขากัน ตอนนี้เขาก็คนเบาๆอีกค่ะ เพราะกลัวแฟบ มันก็ไม่เข้ากันสักที ครูก้อยเลยขอเอามาทำให้ดู เขาก็บอกว่าที่ครูก้อยทำเรียกว่าตีไข่ (เหมือนทำไข่เจียว) อืมจริงแฮะ แต่ครูก้อยก็บอกไปว่าผสมกับเนยนี่แฟบก็ไม่เป็นไร เพราะมันก็แฟบจริงๆค่ะ น้องเขาก็เห็น เขายังทักเลยมันแฟบลงจริงๆด้วย (แสดงว่าตอนแรกที่ครูบอกไป ไม่เชื่อครูแน่ๆเลย) แล้วเราก็เอาส่วนผสมเนยเทกลับลงไปในโถส่วนผสมไข่อันเดิม แล้วคนให้เข้ากัน



        4. เสร็จแล้วก็เทใส่พิมพ์ ครูก้อยให้เขาแบ่งใส่ 2 พิมพ์เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาตัดแบ่งเค้กทีหลัง แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะยังนึกภาพไม่ออก ก็ไม่เป็นไร รอดูต่อไปแล้วกันนะจ๊ะ ลูกชาย แล้วก็อบค่ะ อบประมาณ 15 นาทีก็สุกแล้วค่ะ ระหว่างรออบครูก้อยถามว่าตอนนี้ต้องทำอะไร เขาก็รู้ทันทีค่ะ บอกว่า "ล้างจาน" ครูก้อยก็เลยบอกว่า "ถูกต้องแล้วคร๊าบ" ก็ไปล้างค่ะ ดูจะงงๆกับการล้างจาน ครูก้อยถามว่าที่บ้านล้างมั้ย เขาก็บอกว่าล้างเองครับ ดีค่ะ ที่เราเน้นการลงมือทำอยู่แล้ว ผลลัพธ์จะดีไม่ดี ก็ถือเป็นกรณีศึกษาค่ะ

         5. พอเค้กสุกเอาออกมาจากเตาอบ ก็คว่ำแม่พิมพ์ประมาณ 2 นาที ครูก้อยให้เขาทายว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เขาก็ทายว่าเพื่อให้เค้กหลุดออกจากพิมพ์ ซึ่งก็เป็นสมมติฐานที่ดีมาก แต่จริงๆแล้วทำเพื่อให้เค้กชุ่มชื้น เพราะเค้กเนื่อนี้ส่วนใหญ่จะแห้ง ก็เลยใช้วิธีนี้เพื่อให้เค้กชุ่มชื้นขึ้น 2 นาทีผ่านไป เราก็เอาเค้กออกจากพิมพ์ และตั้งไว้ให้เย็นสนิทค่ะ ไม่งั้นมาแต่งหน้าบัตเตอร์ครีมละลายพอดี  

        ระหว่างรอเค้กเย็นเราก็มาทำบัตเตอร์ครีมกันค่ะ

        สูตรทำบัตเตอร์ครีม

        Butter                เนยสดรสจืด 100 g 
        Shortening         เนยขาว 50 g

        Sweeten Condensed Milk     นมข้นหวาน 200 g
        Salt                   เกลือ     Pinch

        1. เราเจอปัญหาค่ะ เพราะนมข้นไม่พอ ชั่งแล้วมีไม่ถึง 200 กรัม ทำไงดีหล่ะที่นี้ ก็คุยกับนักเรียนค่ะว่าเราจะแก้ปัญหากันยังไงดี ให้น้องเป็นคนตัดสินใจเอง ทางเลือกคือรอที่โรงเรียนให้ครูขับรถไปซื้อที่เซเว่นอีิเลเวน กับเราลดสูตรบัตเตอร์ครีมลงเลยให้เท่ากับปริมาณของนมข้นหวานที่มี ลูกศิษย์เลือกอย่างที่ 2 คือลดสูตรลง เราเลยต้องคำนวณกันใหม่หมด สรุปคือลดสูตรลง 30% ก็นั่งคำนวณเลขกัน ได้ใช้ทั้งบวกลบคูณหารครบเลยค่ะ ใครจะนึกว่าทำขนมเค้กก็ได้ฝีกคิดเลขในใจไปด้วย คุณพ่อ คุณแม่อาจจะคิดว่า แล้วทำไมคุณครูไม่เตรียมให้พอหล่ะ อันนี้ครูก้อยไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ ยอมรับผิดค่ะ แต่ครูก้อยอยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้มองมุมที่ดีของเหตุการณ์ด้วยนะคะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอนน้องได้หลายอย่างเลย ทั้งการได้คิดเลข การได้เรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงวิชาการที่เรียนมากับชีวิตประจำวัน การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าซึ่งอันนี้เป็นบทเรียนที่หาได้ยากนะคะ แบบฝึกหัดเลขยังหาทำได้ แต่การเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเนี่ย ไม่มีแบบฝึกหัดขายนะคะ

2. เริ่มตีบัตเตอร์ครีมด้วยการตีเนยสดที่เย็นจัดก่อน ให้เริ่มอ่อนตัว แล้ว เติมเนยขาวลงไปตีด้วยกันให้เข้ากัน ตึจนส่วนผสมฟูขาว ตึไปสักพักอากาศร้อนค่ะ เนยเริ่มเหลว ครูก้อยเลยเอาน้ำแข็งใส่ชามที่ใหญ่กว่าชามตีบัตเตอร์ครีม แล้วไปวางซ้อนด้านใต้ของชามเนย ตีบนน้ำแข็งเลยค่ะ เคล็ดลับของการตีบัตเตอร์ครีมคือต้องให้ส่วนผสมเย็นอยู่เสมอไม่งั้นตีไม่ขึ้นฟู ลูกศิษย์เห็นก็ถามว่า "ครูทำอะไรอ่ะ" ก็อธิบายไปแบบนี้ค่ะ เด็กเขาก็คอยสังเกตนะคะว่าเราทำอะไร


3. พอเนยขึ้นฟูขาวแล้ว ก็เติมนมข้นหวานค่ะ ตีจนเข้ากัน ลูกศิษย์ชิมแล้วบอกว่าหวานมากกกก ก็เด็กผู้ชายนะคะ คงไม่ชอบกินหวาน เลยบอกไปว่าเดี๋ยวกินกับเค้กก็จะอร่อยกำลังดี

4. พอบัตเตอร์ครีมเสร็จก็แต่งหน้าเค้กกันเลย และเพราะเราลดสูตร บัตเตอร์ครีมเลยมีน้อย ไม่พอแต่งทั้งเค้กอีก ทำไงหล่ะ มีปัญหาให้แก้อีกแล้ว ก็ต้องมาคิดกันว่าจะเอาไง แค่ปาดหน้ายังไม่พอ ไม่ต้องคิดว่าบีบครีมคำว่า แฮปปิ้เบิร์ดเดย์เลยด้วยซ้ำ แต่โชคยังดีค่ะ มี Gum Paste อยู่ในตู้เย็น ก็เลยเอาปั้นเป็นตัวอักษร ก็ให้ลูกศิษย์นั่นแหละปั้น เพราะลูกต้องทำเค้กนี้ด้วยตัวเองให้คุณพ่อ พอปั้นเสร็จก็เอาไปแต่งหน้าเค้กว่า Happy Birthday ตอนแรกมีชื่อคุณพ่อด้วย แต่ตัวอักษรที่เราปั้นกันมันใหญ่ค่ะ เลยไม่พอใส่ชื่อคุณพ่อ ได้แค่คำอวยพร ได้ผลงานมาเป็นเยี่ยงนี้ค่ะ



3/26/2554

มาแล้ว! แคมป์ 3ทักษะ ภาษา ดนตรี และศิลปะสร้างสรรค์ สำหรับน้องๆในวันปิดเทอมตุลานี้

"Chinese & Music & Creativity Art Camp"

วันเรียน : ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2554

เวลาเรียน : เวลา 10.00 - 15.00 น. (สามารถฝากก่อนและรับหลังเวลาได้)

สถานที่ : The Art Clubs & Kids Center

ราคา : 1,900 บาท(1 week) / 3,750(2 weeks) / 5,400 บาท(3 weeks) / 7,000 บาท(4 weeks)
(รวมอุปกรณ์ทุกอย่าง พร้อมอาหารกลางวันและอาหารว่าง)
**(เปิดคอร์สเมื่อมีจำนวนเด็กตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป)

น้อง ๆ จะได้เรียนดนตรี เรียนรู้ตัวโน๊ต การฟังจังหวะ ร้อง เล่น เต้น ฟัง และเพิ่มพูนทักษะภาษาจีน ผ่านการทำแบบฝึกหัดและจากบทเพลงจีนสำหรับเด็ก และยังได้ทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ต่างๆมากมาย ไม่ซ้ำใคร ได้ทั้งความรู้ ความภาคภูมิใจ และความสุขไปพร้อมกันในวันปิดเทอมนี้

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : The Art Clubs & Kids Center 951/6 บางนา-ตราด ซ.13 บางนา กทม. 10260


โทร 02-7474008, 081-9225537

http://theartclubs.blogspot.com/

e-mail : theartclubs@gmail.com

2/20/2554

My Clay Work Project Camp!

ผ่านไปแล้วกับ "แคมป์ My Clay Work Project สร้างสรรค์งานปั้นตามจินตนาการด้วยมือน้อยๆ"

น้องๆที่เข้าร่วมได้สนุกกับการใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ ในการสร้างสรรค์ผลงานออกมาเป็น 3มิติ ด้วยดินธรรมชาติที่สามารถนำไปเคลือบและเผาได้จริง ทั้งเป็นการฝึกและพัฒนากล้ามเนื้อมือซึ่งสัมพันธ์กับการสร้างเส้นใยของสมอง มีส่วนกระตุ้นพัฒนาการและความคิดสร้างสรรค์ของน้องๆ รวมทั้งยังสนับสนุนเสริมสร้างความภาคภูมิใจในผลงาน ซึ่งเป็นชิ้นที่จับต้องได้และไม่ซ้ำใครอีกด้วยค่ะ

ชิ้นผลงานที่ยังไม่ได้นำไปเผา ผลงานที่เผาและเคลือบเรียบร้อยแล้ว

1/11/2554

สอนให้เด็กรักดนตรีตั้งแต่เกิด



สอนให้เด็กรักดนตรีตั้งแต่เกิด
คุณเคยสงสัยไหมคะว่า ทำไม..เด็กตัวแค่นิดเดียว ร้องเพลงยังไม่ได้ พูดก็ยังไม่ได้ อย่าว่าแต่เดินหรือวิ่งเลย ยืนเองยังไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่พอได้ยินเสียงเพลง กลับขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไปตาม จังหวะจังหวะดนตรีได้

ถ้าเราสังเกตเด็กจะพบว่า เด็กทุกคนสามารถที่จะตบมือและเต้นรำได้ โดยไม่ต้องสอนตั้งแต่เขายังไม่รู้จักใช้ภาษาพูด จะเรียกว่าการแสดงออกทางร่างกายด้วยลีลาท่าทางด้านดนตรี ถือเป็นความต้องการ และเป็นความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้
ถ้าพูดในเชิงจิตวิทยาสมัยใหม่ โฮวาร์ด การ์ดเนอร์(Howard Gard)กล่าวว่าคนเราไม่ได้มีความฉลาดเพียงด้านเดียว แต่มีความฉลาดในหลายๆด้าน และที่สำคัญ ได้พบความพิเศษบางอย่าง เช่น ความสามารถทางดนตรี ภาษา มนุษยสัมพันธ์ ซึ่งถ้าคนไหนเก่งดนตรี เคลื่อนไหว หรือเต้นรำ ก็เท่ากับเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้มีความฉลาดในหลายๆด้านไปด้วย
ในปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีคนเป็นจำนวนมากที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกเหงา หากเอาดนตรีและการเต้นรำเข้ามาใช้ ก็มีส่วนช่วยแก้ปัญหาได้เช่นกัน ดิฉันคิดว่าดนตรีและศิลปะมีอิทธิพลทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ หากรัฐบาลไม่เห็นความสำคัญ ไม่ส่งเสริมการให้การศึกษาทางด้านนี้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสังคมตามมา เช่น ปัญหาอาชญากรรม หรือปัญหาสภาพจิตใจไม่ปกติ

5/29/2553

The Art Clubs & Kids Center Map

The Art Clubs & Kids Center

สถาบันภาษา ดนตรี และศิลปะสร้างสรรค์ ดี อาร์ต คลับ

951/6 ถ.บางนา-ตราด ซ. 13 บางนา กทม. 10260 (ก่อนถึงเซ็นทรัลบางนา) เข้าได้ทางสุขุมวิท103 (อุดมสุข 42)

สอบถามเส้นทาง หรือรายละเอียดเพิ่มเติม 02-7474008 / 081-9225537